Friday, April 13, 2012

โคโยตี้สงกรานต์ พฤติกรรมฉาว แต่คนส่วนใหญ่ชอบดู ??


โคโยตี้สงกรานต์ พฤติกรรมฉาว แต่คนส่วนใหญ่ชอบดู ??
Mthainews: เป็นที่ทราบกันดีว่าเทศกาลสงกรานต์ เป็นวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งการรดน้ำดำหัวแสดงถึงการให้ความเคารพถึงบุพการี ผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งยังมีการสรงน้ำพระทำบุญตักบาตร ขนทรายเข้าวัด ที่เป็นประเพณีที่ดีงาม
แต่ในปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์ กลับมีกิจกรรมการเล่นน้ำที่ผิดเพี้ยนออกไป จนเลยเถิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเพลงเต้น โคโยตี้ โยกย้ายส่ายสะโพก ถือขวดเหล้า แก้วเบียร์ ด้วยความสนุกสนาน เป็นเหตุการณ์ที่มีให้เห็นจนชินตา
เห็นได้จากกรณีตัวอย่าง ที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อปีที่ผ่านมา กรณีของสาวถอดเสื้อเปลือยอก เต้นบนหลังคารถบนถนนสีลม เป็นบทเรียนได้เป็นอย่างดีว่า หากขาดสติ ไม่ยั้งคิด ก็จะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งครึกโครมได้
ซึ่งไม่เพียงแต่สาวเปลือยอกสีลมเท่านั้น ยังมีหลายพื้นที่ ทั้งสาวแท้ สาวเทียม หนุ่มๆ แก้ผ้าโชว์ลีลาส่ายสะโพก อย่างสนุกสนาน  แต่หากมีภาพ คลิป หลักฐานเป็นข่าวตามสื่อ จะหลายเป็นภาพติดตัวไปตลอดชีวิต
“ในขณะเดียว แม้จะมีการตักเตือนจากกระทรวงวัฒนธรรม ไม่ให้นุ่งน้อยห่มน้อยเล่นสงกรานต์ แต่คนส่วนใหญ่กลับชอบที่จะดู” 
เพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นสีสันของหญิงสาว นุ่งน้อย เปียกน้ำ โชว์เรือนร่างชัดเจน ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักกลางถนน  เมื่อเกิดมีโคโยตี้เต้นโชว์ ก็ได้รับเสียงเชียร์ไปตามจังหวะ พร้อมกับสายตาที่จับจ้องของบรรดาหนุ่มๆ
นอกจากนี้ ผลสำรวจมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยังระบุว่า กลุ่มเยาวชนเกินครึ่งหรือร้อยละ 54.8 และกลุ่มผู้ใหญ่ร้อยละ 32.3 อยากดูการเต้นโคโยตี้ในเทศกาลสงกรานต์ กลายเป็นกิจกรรมประจำปี ที่คนส่วนใหญ่คาดหวังว่า เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ ก็จะมีโคโยตี้ให้เห็น เป็นเรื่องธรรมดา
อีกทั้งการโปรโมตงานสงกรานต์บุรีรัมย์ ยังชูบรรดาเหล่านางเอกเอวีญี่ปุ่น มาเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแห่มาร่วมงาน จนที่พัก โรงแรม ยอดจองห้องพักล่วงหน้ากว่า 90 % คาดทำเงินสะพัดกว่า 150 ล้าน
คนส่วนใหญ่อยากดูโคโยตี้ในวันสงกรานต์ แต่ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ถึงความไม่เหมาะสม ขัดกับวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ภาพพจน์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่เกิดกับตัวบุคคล แต่สะท้อนถึงเทศกาลความเป็นไทยที่กำลังหายไป พร้อมกับการแทนที่ของเทศกาลฉาว
ฉะนั้น ก่อนจะทำสิ่งใดควรมีสติ ยั้งคิดสักนิด มิเช่นนั้นอาจตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งในไม่ช้า

0 comments:

Post a Comment